ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ใครรู้คุณค่า

๑o ต.ค. ๒๕๕๘

ใครรู้คุณค่า

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง “พระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทาญาณคือพระอรหันต์แบบไหน

กราบเรียนนมัสการพระอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง กราบขอความเมตตาท่านได้โปรดพิจารณาอธิบายขยายความให้ด้วยก็จะเป็นพระคุณยิ่ง

พระอรหันต์มีกี่ประเภท มีพระอรหันต์บางองค์ท่านออกมาเปิดเผยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทาญาณ ใคร่ขอคำอธิบายจากพระอาจารย์โปรดขยายความให้ความกระจ่างด้วยค่ะว่าพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทาญาณคือพระอรหันต์แบบไหนคะ

ได้ฟังธรรมของท่านอาจารย์ที่แสดงไว้เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ มีช่วงหนึ่งท่านกล่าวว่า วันที่ ๑๖ สิงหาคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านอาจารย์ ท่านได้ฝันถึงหลวงตาหลายครั้ง โยมเคยทราบว่า เวลาพระอริยะท่านฝันหมายถึงท่านเกิดนิมิต แสดงว่าหลวงตามาหาท่านอาจารย์ในนิมิตหลายครั้ง อันแสดงถึงระดับความใกล้ชิดและยอมรับว่าพระอาจารย์เป็นลูกศิษย์ที่องค์หลวงตาท่านภูมิใจเพราะท่านได้เป็นตัวแทนของหลวงตาในการช่วยเผยแผ่พระศาสนาให้เป็นอย่างดีนับเป็นศาสนทายาทที่ดีเลิศขององค์หลวงตาและพระพุทธศาสนา ขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์มา  โอกาสนี้

อัฐิของพระอรหันต์จะต้องกลายเป็นพระธาตุทุกองค์ใช่หรือไม่คะ แล้วอัฐิของพระบางองค์ที่เราเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง แต่เมื่อท่านนิพพานไปนานแล้ว อัฐิของท่านยังไม่เปลี่ยนเป็นพระธาตุแต่อย่างใด แสดงว่าท่านยังไม่เข้าถึงพระอรหัตตผลใช่ไหมคะ

ตอบ : นี่คำถามเนาะ คำถาม  คำถาม ทั้งถามจริงก็ได้ ถามลวงก็ได้ ฉะนั้นเอาคำถามข้อแรกก่อน ข้อแรกว่า พระอรหันต์มีกี่ประเภท

คำว่า “พระอรหันต์มีกี่ประเภท” ในพระไตรปิฎกบอกไว้มี  ประเภทใช่ไหมเตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทา มี  ประเภท ถ้า  ประเภท เวลาเราอธิบายกันเราอธิบายกันแบบนี้ แล้วเรามีการศึกษา เราก็ศึกษาไป เราศึกษาแล้วเราก็ว่ามีความเข้าใจ เห็นไหม มันมีประเภทๆ ใครมีความชำนาญอย่างใด

ฉะนั้น เวลามีความชำนาญอย่างใดนะ คำถามอย่างนี้มันมีอยู่ในหนังสือเวลาพวกเขาไป มีพระถามหลวงปู่มั่นเรื่องนี้ หลวงปู่มั่นท่านบอก หืมหืมพระอรหันต์มีกี่ประเภท พระอรหันต์มีกี่ประเภท พระอรหันต์มีประเภทเดียว ประเภทว่าเป็นพระอรหันต์ไง

ทีนี้พอเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ในพระไตรปิฎกว่ามี  ประเภท  ประเภทคือความถนัด ความถนัด ปฏิสัมภิทา เห็นไหม เขาบอกพระอรหันต์ที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณ ปฏิสัมภิทาญาณมันชำนาญในการเทศนาว่าการ ชำนาญในนิรุตติ ชำนาญในอักษร ชำนาญในธรรมะ คือขยายความ ขยายความได้ดี นี่พูดถึงว่าเวลาปฏิสัมภิทา ก็รู้ รู้ละเอียด รู้ลึกซึ้ง นิรุตติไง คือเรื่องภาษา เรื่องการสั่งสอน เรื่องการที่ความเข้าใจของคน จะอธิบายให้คนเข้าใจได้อย่างไร นี่พูดถึงว่าเวลาเขาคิด เขาคิดกันอย่างนี้ไง

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า พระอรหันต์มีประเภทเดียว พระอรหันต์มีประเภทเดียว

พระอรหันต์มีประเภทเดียว พระอรหันต์อาสวักขยญาณไง คือขณะที่เกิดมรรค เกิดอรหัตตมรรค อรหัตตผล นั่นคือพระอรหันต์ ถ้าเวลาถ้าพูดถึงว่าใครเป็นพระอรหันต์ๆ จะย้อนกลับมาที่นี่ไง ย้อนกลับมาที่นี่ว่า เหตุที่เป็นพระอรหันต์น่ะมรรค  ผล  ถ้าอรหัตตมรรค อรหัตตผล นั่นล่ะพระอรหันต์ มรรคญาณ เวลาชำระอวิชชา นั่นล่ะพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์เกิดที่นี่ ถ้าเกิดที่นี่แล้ว ถ้าประเภทประเภทมันแยกย่อยไป แยกย่อยไปด้วยความถนัดไง

ถ้าแยกย่อยด้วยความถนัด เห็นไหม ดูสิ เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเป็นเพื่อนกันนะ สนิทคุ้นเคยกันมากเลย เวลาสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เวลาพระสารีบุตรเป็นเสนาบดีแห่งธรรม คือขยายความธรรมะได้ชัดเจนมาก เป็นปัญญา นี่เป็นปัญญาวิมุตติ คือว่ามีปัญญากว้างขวางมาก มีปัญญารองจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เวลาพระโมคคัลลานะสำเร็จเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน พระโมคคัลลานะเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย เป็นผู้ที่มีฤทธิ์ มีฤทธิ์คือว่ามีความชำนาญในเรื่องฤทธิ์ เรื่องอภิญญา เรื่องความฤทธิ์เดชนี่มีความชำนาญมาก แต่ก็เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายก็มีความชำนาญรององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีครบเลย มีครบแล้วมีความชำนาญมากกว่า

ฉะนั้น เวลาฤๅษีชีไพรในสมัยพุทธกาล พวกฤๅษีชีไพรเขาไม่ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เขาก็มีฤทธิ์ ดูเทวทัตสิ เทวทัตนี่เป็นฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์แปลงร่างได้แปลงกายไปเป็นงูไปพันศีรษะอชาตศัตรู นี่พระเทวทัตเป็นอะไร พระเทวทัตก็เป็นปุถุชน พระเทวทัตได้อภิญญา เวลาพระเทวทัตมันไม่ชำระล้างกิเลสไง

พระอรหันต์มีประเภทเดียว ประเภทเดียวตรงนี้ ประเภทเดียวตรงอาสวักขยญาณ ประเภทเดียวตรงสมุจเฉทปหาน เป็นอรหัตตมรรค อรหัตตผล ทำลายอวิชชาตรงนี้ หลวงปู่มั่นท่านเน้นย้ำตรงนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เน้นย้ำตรงนี้

ดูสิ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล มีพระอรหันต์  องค์โต้แย้งกันว่าพระอรหันต์ประเภทใดดีที่สุด เห็นไหม พระสีวลี พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ มี องค์ เราจำไม่ได้ ต่างคนต่างยืนยันว่าความถนัดของตนดีที่สุดๆ ตกลงกันไม่ได้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอาสวักขยญาณดีที่สุด ญาณที่ตัดกิเลสอันนั้นน่ะ ที่เป็นพระอรหันต์ อันนั้นสำคัญที่สุด

พระอรหันต์เขาอยู่กันตรงที่นี่ พระอรหันต์อยู่ที่นี่ พระอรหันต์อยู่ที่อรหัตตมรรค อรหัตตผลนี่ พระอรหันต์อยู่ที่ศีล สมาธิ ปัญญาที่ชำระล้างกิเลส พระอรหันต์สำคัญตรงนี้ ถ้าตรงนี้เป็นจริงแล้ว เป็นพระอรหันต์จริงๆ

พอเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ดูสิ ดูหลวงปู่มั่น ดูหลวงตา ครูบาอาจารย์ของเราพอสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ส่วนใหญ่ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์นะ มันจะย้อนกลับมาถึงความสำเร็จของเรา ถ้าความสำเร็จของเรามันละเอียดลึกซึ้ง โสดาปัตติมรรคโสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล  คู่ มรรค  ผล  นิพพาน  นิพพานมันพ้นออกไปความกระเสือกกระสนของจิตที่มันประพฤติปฏิบัติขนาดนี้ แล้วจะมาพูดพร่ำๆ พูดให้คนเข้าใจได้ง่ายๆ มันเป็นไปได้อย่างไร

มันเป็นไปไม่ได้หรอกว่าพระอรหันต์จะเอาธรรมะมาแจกแจงที่ทุกคนจะเข้าใจเข้าใจรู้ความ อธิบายแล้วทุกคนจะแจ่มแจ้งหมดเหมือนทางวิชาการ มันไม่มี

พระอรหันต์จะเข้าใจเรื่องปริยัติ เรื่องปฏิบัติ เรื่องปฏิเวธ เรื่องสุตมยปัญญาจินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา ปัญญามันเกิดอย่างไร แล้วปัญญาประเภทไหนฆ่ากิเลสได้ ปัญญาประเภทไหนฆ่ากิเลสไม่ได้

ถ้าปัญญาอย่างเขามันปัญญาการศึกษา ปัญญาจินตนาการอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันทำความสงบของใจไม่ได้ มันครบองค์ประกอบของมรรคไม่ได้ เพราะมันไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน ไม่มีสมาธิเป็นพื้นฐาน มันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่ภาวนามยปัญญา มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม

ดูสิ หลวงตาเวลาท่านบรรลุธรรม มันเหมือนกับ อืมเราจะสอนใครได้ มันมีความคิดอย่างนี้เลยล่ะ มันมีความคิดว่ามันลึกลับเกินไป มันลึกลับเกินไป แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่พ้นวิสัยของมนุษย์ใช่ไหม นี่เราพูดถึงว่าถ้าความเป็นพระอรหันต์เขาจะมีภูมิรู้อย่างนี้ เขามีภูมิรู้ มีคุณค่า นี่ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

ดูสัตว์สิ สัตว์มันดูแลครอบครัวของมัน มันดูฝูงของมัน มันก็เป็นธรรมของสัตว์ สัตว์เดรัจฉานมันรักฝูงของมัน เวลาเป็นคน คนรักหมู่รักพวก คนเป็นคนดีก็เป็นคนดีของคนใช่ไหม เวลาคนดี ปุถุชน แล้วคนจะปฏิบัติมันก็เป็นกัลยาณปุถุชนยกขึ้นสู่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล คิดดูสิว่ามันพัฒนาขึ้นไปเท่าไร มันพัฒนาขึ้นไปขนาดไหนมันถึงจะเป็นพระอรหันต์ได้ แล้วพอเป็นพระอรหันต์แล้วเขาไม่พูดพร่ำเพรื่อ แล้วเขาไม่พูดฟูมฟาย เขาไม่พูดออกมา

เพราะเขาบอกว่า พระอรหันต์มีกี่ประเภท

กี่ประเภทนี่เป็นความถนัด แล้วจะบอกเป็นความถนัดปั๊บ ทุกคนก็อ้างเลยว่าฉันเป็นพระอรหันต์ประเภทนั้นเป็นประเภทนี้ ฤๅษีชีไพรเขาก็ทำได้

ไอ้เรื่องประเภทๆ นี่ความถนัดนะ พวกปฏิสัมภิทา ดูสิ บางคนนะ เขาเป็นปุถุชน เขาเป็นศาสตราจารย์ เป็นดอกเตอร์ เขาพูดฉะฉาน เขาพูดด้วยทางวิชาการของเขา อย่างนั้นเป็นพระอรหันต์หรือเปล่า ปฏิสัมภิทาไหม มันก็ไม่ใช่มันเป็นความถนัดของเขา เขาฝึกฝนของเขามา เพราะกิเลสท่วมหัว กิเลสในใจมหาศาล

นี่ก็เหมือนกัน พระอรหันต์มีกี่ประเภท

พระอรหันต์มีประเภทเดียว พระอรหันต์มีประเภทเดียว เพราะจากพระอนาคามีเป็นพระอรหันต์ สิ้นกิเลส เป็นประเภทเดียว แล้วเวลาความชำนาญอำนาจวาสนาที่สร้างสมมา ความชำนาญของคน นั่นไปแยกย่อยที่นั่น คือมันเป็นปัญหาเล็กน้อย ปัญหาภายหลัง

สำคัญ สำคัญ สำคัญนี่ มรรคผลนี่สำคัญ พยายามปฏิบัติให้มันได้จริง ถ้ามันได้จริงขึ้นมาแล้วมันจะเป็นความจริง

ทีนี้มันไม่ได้จริงขึ้นมาน่ะสิ พอมันไม่ได้จริงขึ้นมามันก็ถึงว่าไปประกาศตน...ประกาศอะไร เห็นไหม “มีพระอรหันต์บางองค์ออกมาเปิดเผยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทาญาณ ใคร่ขอคำอธิบายจากอาจารย์โปรดขยายความว่าพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทาญาณมันเป็นแบบไหนคะ

ก็มันเป็นแบบขี้โม้อย่างนั้นน่ะ โม้กันไป มันเป็นแบบขี้โม้ มันไม่ได้เป็นความจริง ถ้าความจริงมันไม่เป็นแบบนั้น ความจริงนะ อย่างเช่นหลวงตาของเรา หลวงตาของเราขี้โม้ไหม

หลวงตาเวลาท่านพูดนะ เวลาท่านพูดนะ ท่านพยายามต่อสู้กับกิเลส สละชีวิตครั้งหนึ่งเพื่อสู้กับกิเลส ต่อสู้กับกิเลสจนบรรลุธรรมขึ้นมาได้ จนเอาตัวรอดได้แล้วท่านก็มาสละชีวิตอีกหนหนึ่งเพื่อมาโครงการช่วยชาติฯ เพราะท่านบอกว่าโครงการช่วยชาติฯ ของท่าน ถ้าท่านไม่ประกาศตนออกไป เงินทองของเขา เขาเสียสละมา ทุกคนก็เป็นห่วงทั้งนั้นน่ะ

ฉะนั้น จะสละเงินทองของเราไปไว้ที่ใคร แล้วใครจะไปทำประโยชน์อะไรท่านถึงได้ยอมๆๆ ยอมประกาศตนว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ทั้งๆ ที่มีความเข้าใจกันมาตั้งแต่ที่ลูกศิษย์ลูกหาอยู่กับท่าน อย่างเช่นท่านบอกท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นหลวงปู่มั่นท่านไม่เคยพูดเลยว่าท่านเป็นพระอะไร แต่ลูกศิษย์ของท่าน ลูกศิษย์ของสายหลวงปู่มั่นทุกองค์เข้าใจว่าหลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ แต่หลวงปู่มั่นไม่เคยประกาศตน ไม่เคยอวดตน ไม่เคยอวดตัวเลย ไม่เคยทั้งสิ้นเลย

ฉะนั้น สิ่งที่เรารู้กัน เรารู้กันด้วยคุณงามความดีของท่าน เรารู้กันด้วยข้อเท็จจริงในใจของท่าน มันไม่ได้รู้ด้วยการที่ท่านประกาศ ตัวท่านประกาศเองนี่ไม่มีเว้นไว้แต่หลวงตา

หลวงตาท่านประกาศ ท่านบอกว่า ท่านเสียสละชีวิต  คราว คราวหนึ่งคือเสียสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับกิเลส อีกคราวหนึ่งเสียสละเพื่อโลก เพื่อโลก เพื่อสังคมไทย เพื่อศาสนา ท่านเสียสละอย่างนั้น ฉะนั้น การเสียสละอย่างนั้น

จะบอกว่าพระอรหันต์ประกาศตน

ไม่มีหรอก ไม่มี อย่างเช่นหลวงปู่ลี หลวงปู่ลีนี่หลวงตาท่านยืนยันเอง แต่หลวงปู่ลีท่านไม่เคยประกาศตนท่านเองเลย แล้วท่านสงบเสงี่ยมของท่านมาก

ฉะนั้น พระอรหันต์ประเภทประกาศว่าฉันปฏิสัมภิทา อันนั้นมันเป็นเรื่องโลกๆแล้ว ถ้าพูดไปแล้วมันจะกระทบกระเทือนกันเกินไป

อันนี้พูดถึงว่า พระอรหันต์มีกี่ประเภท

มีประเภทเดียว ประเภทที่ว่า ถ้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์จริง มันจะมีมรรคมีผลในใจจริง ถ้าในใจจริงแล้วมันจะเห็นคุณค่า

ธรรมะนี้สูงส่งมาก สูงส่ง ดูสิ ขนาดที่ว่าเวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่แหวนท่านทำเป็นคติเฉยๆ ท่านไม่ได้ทำเพื่ออวดหรอก ท่านเอาแบงก์ ๕๐๐ มามวนยาสูบแล้วสูบ แล้วมีพระเข้าไปถาม บอก “โอ๋ยหลวงปู่ นี่มันแบงก์นะ

หา แบงก์หรือ อ๋อมันก็แค่กระดาษ

แต่ท่านก็ทำหนเดียว เห็นไหม คือมันไร้สาระ คิดดูสิ คนจะเอาแบงก์มามวนบุหรี่สูบอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก คือท่านไม่เห็นค่า กระดาษก็คือค่าเท่ากระดาษไง แต่ทางโลกมีค่าเท่ากับแบงก์ ๕๐๐ แต่ของท่านก็มีค่าเท่ากระดาษมวนบุหรี่ ท่านทำให้เห็นหนเดียวเท่านั้นเอง ให้เห็นอย่างนั้นนะ ให้เห็นเป็นการแสดงคติธรรม นี่ไง เวลาถ้ามันเป็นจริง มันเป็นจริงโดยหัวใจภายใน

ความเห็นคุณค่า ถ้าคุณค่าทางธรรม เวลาประพฤติปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญาพระปฏิบัติจะเห็นคุณค่ามาก ถ้าเห็นคุณค่ามาก ก็พยายามจะหา พยายามจะปฏิบัติตนให้มีคุณธรรมอย่างนั้นเพื่อให้เกิดมรรคเกิดผล เกิดความเป็นจริงขึ้นมาอย่างนั้น

ฉะนั้น ถ้าเป็นพระอรหันต์ประเภทปฏิสัมภิทา ปฏิสัมภิทาแล้วทำประโยชน์อะไร ทำสิ่งใดเป็นประโยชน์ขึ้นมาบ้างล่ะ

นี่ผู้ถามก็ถามไปอย่างนั้น จะให้ขยายความ เพราะว่าข้อ เดี๋ยวจะไปตอบข้อ ซ้ำข้อที่ .

นี้ข้อที่ ได้ฟังเทศน์ท่านอาจารย์ที่ท่านอาจารย์แสดงเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคมช่วงหนึ่งว่า ท่านอาจารย์บอกว่าวันคล้ายวันเกิดของท่าน ท่านอาจารย์ได้ฝันถึงหลวงตาหลายครั้ง ฝันถึงหลวงตาหลายครั้ง แล้วก็บอกว่าถ้าฝันถึงหลวงตาหลายครั้งอย่างนี้แสดงว่าถึงระดับว่าเป็นความใกล้ชิดท่านอาจารย์จริงหรือเปล่า

เวลาถาม ถามอย่างนั้น เวลาคนมีการกระทำ กระทำเพื่อประโยชน์ไง เพราะเวลางานวันเกิด เราพูดถึงงานวันเกิด งานต่างๆ ทุกคนจะแห่แหนกันไป แห่แหนไปหาครูบาอาจารย์องค์นั้น แห่แหนไปหาครูบาอาจารย์องค์นี้ เราก็เปรียบเทียบไง เปรียบเทียบว่า เวลาวันเกิดหลวงตา เราก็อยู่ของเรา เพราะหลวงตาอยู่ในหัวใจของเรา

เวลาหลวงตาอยู่ในหัวใจของเรา เราเคารพบูชาของเรา เราเคารพบูชาของเราเพราะว่าเวลาเราประพฤติปฏิบัติ คนเราเวลาประพฤติปฏิบัติมันเกิดปัญหาขึ้นมา ปฏิบัติแล้วมันมีปัญหา ใครจะแก้ไขให้ มันฝังใจตรงนั้นไง มันฝังใจว่าใครเป็นคนชี้ทางให้เรา ใครเป็นคนปลุกปั้นเรามา

หลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นไง บอกว่าหลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมท่านมาท่านเคารพหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นเป่ากระหม่อมพ่วงๆๆ ให้หลวงตาท่านปฏิบัติมีคุณธรรมมา ท่านถึงได้เคารพบูชาหลวงปู่มั่นมาก

ทีนี้คำว่า “เคารพบูชา” เราเคารพบูชา ท่านอยู่ในหัวใจของเราต่างหากไม่ใช่เราไปอยู่ในหัวใจของท่าน ท่านเป็นครูบาอาจารย์ ท่านเป็นผู้ที่นิพพานไปแล้ว ท่านสูงส่ง เรามีความระลึกถึง แต่เรามีความระลึกถึงด้วยธรรมไง ด้วยธรรมคือว่าท่านอยู่ในหัวใจเรา ถ้าท่านอยู่ในหัวใจของเรา เรามีครูบาอาจารย์ปกป้องหัวใจของเรา เราจะทำความผิดพลาดไหม เราจะเกเรเกตุงไหม เราจะฟาดงวงฟาดงาตามแต่ความพอใจเราไหมถ้าเรามีครูบาอาจารย์อยู่ในหัวใจของเรา

ที่คำพูดของเรา เราพูดให้เห็นว่า เห็นไหม ครูบาอาจารย์อยู่ในหัวใจ อยู่ในหัวใจ เวลาอยู่ในหัวใจ

เขาก็ถามว่า สิ่งที่ว่า ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเราเป็นผู้ใกล้ชิดใช่ไหม

มันไม่มีการผูกขาด ไม่มีใครสามารถผูกขาดว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ชาวพุทธทั้งหมดเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ใครเคารพจริง ใครเคารพไม่จริงเคารพขึ้นมาเพื่อเราจะประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง หรือเคารพขึ้นมาเพื่อเอาท่านเป็นสินค้า

นี่ก็เหมือนกัน ว่าเคารพครูบาอาจารย์ๆ วันนั้นวันเกิดครูบาอาจารย์ เราจะทำบุญกุศลไปเชิดชูครูบาอาจารย์

มันเชิดชูอะไรกัน แต่ของเราเวลาเราพูด เราพูดถึงว่า ถ้าเป็นวันเกิด วันนั้นมันเป็นวันเกิด เราก็จำไม่ได้นะ เราไม่เคยจำเรื่องวันคืน วันคืนมันก็เหมือนกันหมดฉะนั้น เวลาวันนั้นพอดีบังเอิญ บังเอิญคนเขามาทำบุญวันเกิดเราก่อน วันที่ ๑๕เขามาบอกไว้ก่อนว่าวันเกิด อ๋อวันเกิดหรือ วันที่ ๑๖ มากันเต็มเลย

แล้วก็บอกว่า เราถึงบอกว่า เมื่อ  วันนั้น เราจะฝันถึงครูบาอาจารย์เป็นครั้งเป็นคราว เวลาครูบาอาจารย์จะมาฝัน เวลาฝันมาเป็นครั้งเป็นคราว แล้วฝันมาเราก็ถึงมาพูดไง บอกมันถึงกันอย่างนั้น มันถึงกันอย่างนั้น ไม่ได้อวดหรอก ไม่ได้ประกาศตนหรอกว่า ผูกขาดว่าหลวงตาเป็นของเรา เราทำตัวเพื่อหลวงตา ไม่ใช่หรอก

หลวงตาสั่งสอนลูกศิษย์เยอะแยะ เพียงแต่ลูกศิษย์คนไหนเขาจะมีกตัญญูระลึกถึง ระลึกถึงว่าท่านเป็นแบบอย่าง จะทำความดีเพื่อท่าน เราพูดเพื่อเหตุนี้เราพูดแค่นี้ ความหมายของเราแค่นี้เอง แค่ว่าในเมื่อเราเป็นลูกศิษย์ของท่านท่านได้สั่งสอนเรา ท่านได้วางแนวทางไว้ แล้วเราจะเดินตามแนวทางท่านไหม เราจะเคารพบูชาคำสอนท่านไหม เราเคารพไง นี่ไง ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าธรรมวินัยจะเป็นศาสดาของเธอ

นี่ก็เหมือนกัน คำสั่งคำสอนของท่าน การระลึก การกล่าวตักเตือนของท่านเราจะเอามาเป็นคติของเราไหม นี่ขนาดว่าคำสั่งคำสอนของท่าน เราพูดบ่อยว่าท่านเตือนอะไรเราบ้าง แล้วเราเอามาไว้ในใจ นั่นมันก็เป็นความผูกพันของเรา

ฉะนั้น เวลาเราฝัน บังเอิญเราก็พูดไปเพราะมันวันเกิดเหมือนกัน คนก็มารุมเหมือนกัน เราก็เลยบอกว่า ความที่ว่า ถ้าหลวงตาอยู่ในใจ ครูบาอาจารย์ของเราอยู่ในใจเรา เราทำอะไรเรียบง่าย มันเป็นการทำเรียบง่าย

ไม่ใช่ อู้ฮูวันเกิดท่านทีก็ อู้ฮูแห่แหนกัน อู๋ยรุมล้อมกัน จะตัดเค้ก จะมีคอนเสิร์ต อย่างนั้นบอกว่าเป็นการเชิดชูครูบาอาจารย์ นั่นมันเรื่องของเขา

แต่ของเราเวลาวันเกิด วันระลึกถึง เราก็นั่งปฏิบัติบูชา

หลวงปู่ขาว ทางจงกรม  เส้น บูชาพระพุทธ บูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์เราปฏิบัติบูชา เราบูชาคุณงามความดีของท่าน เราปฏิบัติเพื่อท่าน ถ้าปฏิบัติเพื่อท่าน มันก็เป็นประโยชน์ไง

ฉะนั้น คำถามเวลาถามว่า หลวงพ่อฝันถึงหลวงตา แสดงว่าหลวงตารักหลวงพ่อใช่ไหม หลวงพ่อเป็นผู้ใกล้ชิดหลวงตาใช่ไหม

ไม่ใช่ ไม่ใช่ เป็นที่ว่าเราเคารพท่านเฉยๆ เราเคารพ เราระลึกถึงคุณของท่านระลึกถึงคุณ เห็นไหม เวลาพูดถึง พูดบ่อยมาก บอกว่าเกิดมาชาตินี้ภูมิใจ ภูมิใจที่ได้มาพบหลวงตา ได้พบหลวงปู่เจี๊ยะ ได้พบ เพราะ  องค์นี้เป็นองค์ที่แก้ไขความทิฏฐิมานะของเรา ต้องพูดอย่างนี้ถึงถูกต้อง

ท่านแก้ไขทิฏฐิ ทิฏฐิคือว่าแบบที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก เวลาเราไปเห็นสิ่งใด เห็นจริงไหม เห็นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง เราไปเห็นอะไรบ้างที่เรารู้เราเห็นแต่มันไม่จริง แล้วมันไม่มีใครจะแก้ทิฏฐิอันนี้ได้ เพราะว่าเราเห็นของเราจริงๆ เรารู้เราเห็นของเราจริงๆ เราเป็นคนจับต้อง เราเป็นคนที่เข้าไปวินิจฉัย เป็นคนรื้อค้นของเราเอง แล้วเราเป็นคนทำเอง มันก็เกิดทิฏฐิของเราเอง แล้วมันไม่มีใครแก้ได้เพราะเวลาใครพูด มันพูดได้ไม่ถึงกับความรู้ของเรา

ความรู้ของเราคือจิตเราสงบแล้วเราไปรู้ไปเห็น เราไปจับสิ่งใดแล้วเราพิจารณาของเรา เราไปรู้ไปเห็นของเรา แล้วเราจับต้องของเราเอง แล้วทุกคนเวลามาพูดถึง เขาพูดถึงไม่มีเหตุผลถึงตรงนี้ เราไม่เคยฟังใคร แล้วฟังแล้วฟังไม่ขึ้น มันฟังไม่ขึ้นเพราะมันไม่มีเหตุผลของใครที่จะเข้ามารู้ถึงความเห็นอันนี้ได้

แต่เวลาไปเจอหลวงตาท่านซัดเป๊าะเดียว โอ้โฮหงายท้องเลยอย่างนี้ ท่านไล่ลงศาลา ท่านไล่ลงกุฏินะ ถีบกระเด็นลงมาเลยอย่างนี้ สะใจ ท่านไล่ลงมาขนาดนั้นยังไม่รู้นะ กลับไปเดินจงกรมอยู่เกือบคืนหนึ่งน่ะ พอมันระลึกได้ โอ้โฮโอ้โฮ!

มันภูมิใจตรงนี้ มันภูมิใจที่ว่าท่านถีบตกกุฏิมาเลย ยังไม่รู้ว่าท่านให้ยา ยังไม่รู้เลยว่ายาคืออะไร จะต้องเข้าไปทางจงกรมอีกเกือบคืนหนึ่งน่ะ เพราะอดอาหารไง พอทุ่มหนึ่งก็ไปถามปัญหาท่าน ท่านถีบตกลงมาเลย เดินจงกรมถึงเกือบตี  ตี  เพราะมันเสียใจ เสียใจมาก ภาวนาดีขนาดนี้ ขึ้นไปนึกว่าได้รางวัล จะให้รางวัล ที่ไหนได้ ถีบตกมาเลย อู้ฮูคนเก่งขนาดนี้ คนภาวนาดีขนาดนี้ รางวัลคือถีบตกกุฏินี่มันเกินไป อู้ฮูเข้าทางจงกรม

พอมันระลึกได้ เพราะเวลาบอกว่า เราจับอะไรไม่ได้เลย มันว่างหมด ไม่มีอะไรเลย พอท่านถีบตกลงมาคือความเสียใจ ความเสียใจมันคืออะไร ความเสียใจมันคือเวทนา พอมันจับเวทนาได้ มับโอ้โฮถ้าท่านบอกเรานะ ก็จะมีการโต้เถียง มีการโต้แย้งกัน แล้วต่างคนต่างมีปัญญา ท่านขี้เกียจพูดกับมันน่ะ ถีบตกกุฏิไปเลย แล้วมันก็กลับไปทางจงกรมคอตกอยู่นั่นน่ะ

เดินจงกรมคอตกอยู่เกือบค่อนคืน พอมันจับได้ มับโอ้โฮถ้าท่านบอกเราเราจะต้องเถียงน่าดูเลยล่ะ ท่านไม่บอกเรา เราจับได้ มันย่นเวลาของเราไปหลายปีเลยล่ะ เพราะท่านติดตรงนี้นาน ท่านก็รู้ เราเข้าไป โอ้โฮโอ้โฮมันร้องโอ้โฮเสร็จแล้วก็ก้มลงเลยนะ จะกราบหลวงตาร้อยหน จะกราบหลวงตาพันหน จะกราบหลวงตาหมื่นหน จะกราบหลวงตาแสนหน จะกราบหลวงตาล้านหน กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า อยากกราบสักล้านหน ล้านๆๆ เวลามันจับต้องได้

นี่เราพูดถึงว่า เราถึงภูมิใจไง มันถึงความสัมพันธ์กันไง มันถึงระลึกอยู่ในหัวใจไง มันระลึกหัวใจตรงนี้ ไม่ใช่ศิษย์เอกหรอก ไม่ใช่ ศิษย์เอกคือหลวงปู่ลีหลวงตาท่านพูดถึงเศรษฐีธรรม เศรษฐีธรรมคือหลวงปู่ลีนั่นน่ะ หลวงปู่ลีนั่นน่ะท่านก็ปั้นมากับมือเหมือนกัน ท่านปั้นหลวงปู่ลีมากับมือ นั่นศิษย์เอก นู่น หลวงปู่ลีถ้ำผาแดงนู่น ไอ้เรามันเศษคนน่ะ

ฉะนั้น คำถามนี้ถามมาเป็นความเข้าใจของเขา แต่เวลาความตั้งใจของเราคือจะบอกว่า ถ้าเราจะเคารพครูบาอาจารย์ ถ้าเคารพด้วยหัวใจ เราจะเชื่อฟังท่านเราจะทำตามท่าน เราจะไม่เนรคุณ เราจะไม่ทำให้ท่านเสียหาย เราทำสิ่งใดเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนถึงท่าน เราจะดีจะชั่วมันก็แค่ตัวเราใช่ไหม แต่เขาถามว่าลูกศิษย์ใคร มันจะกระเทือนไปถึงอาจารย์ของเรา เราทำสิ่งใดจะไม่ให้กระทบกระเทือนถึงครูบาอาจารย์ของเราเลย ถ้าผิด กูผิดเอง ถ้าความดีความชอบยกให้อาจารย์เลย ความคิดเราเป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น ที่เราพูดถึง เพียงแต่วันนั้นเราพูดว่าเราฝันถึงหลวงตา เราฝันๆ นานๆจะฝันถึงทีหนึ่ง นานๆ จะฝันถึงทีหนึ่ง ฝันประจำ พอฝันทีหนึ่งก็เออมันรู้สึกว่าคึกคักเวลาฝันสักทีหนึ่ง อันนี้พูดถึงว่าความฝัน นี่ข้อที่ .

อัฐิของพระอรหันต์จะต้องกลายเป็นพระธาตุทุกองค์ใช่หรือไม่ แล้วอัฐิของพระบางองค์ที่เราเข้าใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง เมื่อท่านนิพพานไปนานแล้วอัฐิท่านไม่เปลี่ยนเป็นพระธาตุเสียที แสดงว่าท่านยังไม่เข้าถึงพระอรหันต์ใช่หรือไม่

นี่ไง เวลาไปขี้โม้กันน่ะ ไปโม้กันไปก็โม้กันมา

พระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ ถ้าใครเป็นพระอรหันต์ มันสมบูรณ์ในตัวของพระอรหันต์แล้วนะ มันจบแล้ว มันไม่มีสิ่งใดมีค่าไปกว่านั้นแล้ว มันไม่มีใครมีค่าไปกว่า

จิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตดวงนี้ทุกข์ยากแสนยาก จิตดวงนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วประพฤติปฏิบัติไปจนสิ้นสุดแห่งทุกข์เป็นวิมุตติสุขแล้ว มันจะมีอะไรมีค่าไปกว่าจิตดวงนั้น ธรรมธาตุอันนั้น

จิต ภวาสวะ ตัวภพ ทำลายเป็นธรรมธาตุไปแล้ว ถ้าเป็นธรรมธาตุแล้ว ในโลกนี้มันจะมีค่าอะไรเท่ากับวิมุตติสุขอันนั้น สิ่งที่พ้นทุกข์อันนั้นมันมีค่าที่สุดแล้วถ้ามีค่าที่สุดแล้ว สิ่งนั้นพระอรหันต์ เขาต้องการตรงนั้น แล้วถ้าพระอรหันต์เป็นอย่างนั้นแล้วมันจะมีสิ่งใดมีค่าอีกล่ะ เห็นไหม สิ่งที่มีค่า

ฉะนั้น พระอรหันต์แต่ละองค์ที่นิพพานไปแล้วต้องเป็นพระธาตุไหม

เป็นพระธาตุแน่นอน แม้แต่หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน เวลาเราอยู่กับท่าน เกสาเวลาปลงแล้ว เราเก็บ เราเอามาแจกญาติโยม มันขดเป็นตัวด้วงหมดเลย ตั้งแต่ปี ๒๕๒๔๒๕๒๕๒๕๒๖ เกสาของท่านเป็นพระธาตุหมด สิ่งใดที่ออกมาจากตัวท่านเป็นพระธาตุ

ทีนี้มันก็อยู่ที่ว่าเวรกรรม เวรกรรมไปอยู่กับใครที่ไม่เป็นพระธาตุๆ ดูสิ เวลาหลวงตาท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น ท่านด้วยความเคารพบูชาหลวงปู่มั่นนะ ท่านอุปัฏฐากอุปถัมภ์มา แต่กิเลส เวลาท่านสั่งสอนอย่างไร กิเลสมันก็โต้แย้ง กิเลสมันก็เถียงเอาเหตุเอาผลน่ะ ฉะนั้น มันก็มีความโต้แย้งกัน

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว หลวงตาท่านมากราบคารวะอัฐิของหลวงปู่มั่น แล้วทีแรกเวลาเผาเสร็จแล้วท่านไม่ยอมเอาพระธาตุนั้น เพราะเดี๋ยวหาว่าเป็นหมาแทะกระดูก

เวลาท่านไปปฏิบัติ พอหลวงปู่มั่นนิพพานไปแล้ว  เดือน ท่านถึงไปบรรลุธรรมที่ดอยธรรมเจดีย์แล้วมากราบขอขมาอัฐิธาตุของหลวงปู่มั่น แล้วมหาอะไรที่วัดป่าสุทธาวาสให้พระธาตุมา ท่านก็เก็บไว้

ท่านบอกท่านเก็บพระธาตุไว้นะ เก็บอัฐิของหลวงปู่มั่นไว้ แล้วพอสุดท้ายแล้วญาติโยมที่ทำรถไฟที่เขาได้อัฐิของหลวงปู่มั่นมาเป็นพระธาตุ เขาก็ร่ำลือกัน หลวงตาท่านก็ไปเอากล้องส่องรูปอยู่ที่พิพิธภัณฑ์หลวงปู่มั่น หลวงตาท่านเอากล้องไปส่อง อัฐิหลวงปู่มั่นอยู่ที่คนอื่นเป็นพระธาตุหมดเลย นั่นก็เป็นพระธาตุ นี่ก็เป็นพระธาตุ แต่ของท่าน อยู่กับท่านมา ๒๗ ปี ไม่เป็นน่ะ

ท่านบอกอยู่กับท่านมา ๒๗ ปี ไม่เป็นพระธาตุ สุดท้ายแล้วท่านก็ให้ลูกศิษย์ของท่านไปที่อุดรฯ เอาอัฐิของหลวงปู่มั่นจากหลวงตาไป  วัน ในบ้านนี้หอมไปทั้งบ้านเลย แล้วไปเปิดผอบดู เป็นพระธาตุหมดเลย หลวงตาท่านถึงสะท้อนใจไงอยู่กับเราเหมือนกับติดคุก พอพ้นจากเราไปเป็นพระธาตุเลย นี่คนเราเวรกรรมมันมีอย่างนี้

ฉะนั้น เวลาที่ว่าหลวงตา ของท่านเป็นพระธาตุๆ ลูกศิษย์ที่จิตใจเป็นธรรมลูกศิษย์ที่จิตใจไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ลูกศิษย์ที่จิตใจดีงามได้ไปเป็นพระธาตุหมด แต่ไปอยู่กับใครที่มันไม่เป็น เกสาออกมาจากศีรษะของหลวงตาด้วยกันน่ะ ไปอยู่กับบางคน เป็นพระธาตุหมดเลย แต่ไปอยู่กับบางคน ทำไมไม่เป็นล่ะ นี่มันมีเวรมีกรรม มันเรื่องกรรม เรื่องกรรมมันมหัศจรรย์

ขนาดของหลวงตา ท่านบอกว่าท่านได้อัฐิของหลวงปู่มั่นมา อยู่กับท่าน ๒๗ปี ไม่เป็น ให้ลูกศิษย์ไป  วันเท่านั้นกลายเป็นพระธาตุเลย ท่านถึงบอก อู้ฮูอยู่กับเราเหมือนติดคุก ออกไปนี่เป็นพระธาตุเลย

เป็นพระธาตุแน่นอน ถ้าเป็นพระอรหันต์นะ อัฐิธาตุเป็นพระธาตุแน่นอน แต่ว่าเป็นก่อน เป็นหลัง เป็นช้า เป็นเร็ว มันอยู่ที่เวรกรรมของผู้รับและผู้ให้ มันมีเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องศาสนามันมีข้อเท็จจริงอย่างนี้

ฉะนั้นบอกว่า ถ้าอัฐิธาตุของพระอรหันต์ต้องเป็นพระธาตุแน่นอน

แน่นอน แน่นอน คำว่า “แน่นอนแล้ว” มันแน่นอนด้วยข้อเท็จจริงนะ เราเชื่อมั่นมากว่าเป็นพระธาตุ พระธาตุเป็นอัฐิธาตุของพระอรหันต์

แต่ในปัจจุบันนี้มันมี ๑๘ มงกุฎเยอะมาก ๑๘ มงกุฎจะไปซื้อพลาสติกที่สำเพ็งแล้วเอามาแจกกัน ๘๐-๙๐ เปอร์เซ็นต์ของพระธาตุที่แจกกันนี้เป็นพลาสติกเม็ด เขาไปซื้อกันมาแล้วมาแจกกัน

เราถึงบอกว่าสังคมมีคนดีและคนเลวปนกัน คนที่ดีมีสัมมาทิฏฐิ มีความถูกต้องดีงาม อยากได้ของจริง เขาก็แสวงหาของเขามาเพื่อเป็นมงคลชีวิตกับเขา ไอ้พวก ๑๘ มงกุฎมันอยากจะโอ้อวด อยากจะให้คนนับหน้าถือตาว่าเศษผมเศษธุลีของมันเป็นพระธาตุ แล้วก็ไปซื้อพลาสติก เวลาเอามาแจกกัน เอามาพยายามสร้างภาพว่าเป็นพระธาตุของตน

พระธาตุมันต้องได้จากอัฐิธาตุ จำไว้ ได้อัฐิธาตุจากครูบาอาจารย์ของเราที่ท่านได้การเผาแล้วเราเก็บไว้ แล้วให้เห็นว่าเป็นพระธาตุขึ้นมาจริงๆ เลย

เราเก็บเรื่องนี้มาเยอะ ของครูบาอาจารย์ เราได้มา เราได้มาแล้วเราแจกหมด แต่ที่เราได้มา เราเห็นคาตา ของอาจารย์สิงห์ทอง เราเป็นคนเก็บอัฐิธาตุของท่านเอง แล้วมันเป็น มันกลายสภาพอยู่ที่เราถือไว้นี้เอง จากอัฐิธาตุ มันจะเป็นแก้วใสๆ กลืนกินเข้ามาทีละเล็ก ลามไปเรื่อยๆ จนหมดทั้งองค์เลย พระธาตุนี่จริงๆ

แต่ ๑๘ มงกุฎมันทำให้ศาสนา ทำให้ความเชื่อถือของสังคมรวนเร หาแต่ผลประโยชน์ มีพระเยอะมากไปซื้อพลาสติกแล้วมาแจกกัน เยอะมาก

นี่ไง ที่บอกว่า เวลาเราย้อนกลับไปที่ข้อที่ ว่า เวลาเราฝันถึงหลวงตา บอกว่าเราพูดเพื่อให้แสดงว่าหลวงตาเป็นของเรา เราเป็นคนใกล้ชิด

ไม่ใช่ เราจะพูดให้เห็นว่าน้ำใจ ความผูกพันมันอยู่ที่ใจ ไม่ต้องโฆษณา แต่วันนั้นวันที่เทศน์นั้นบังเอิญมันเกี่ยวกับเรื่องคนเขามาทำบุญวันเกิดมันวุ่นวาย เราถึงพยายามพูดว่า ครูบาอาจารย์อยู่ในใจ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมอยู่กลางหัวใจ คุณงามความดี กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมมันอยู่ในหัวใจของพวกเราถ้าคนที่เคารพบูชาจริง มันมีคุณค่า ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สัจธรรมอันนั้นมีค่ามาก มีค่ามากกว่าทุกๆ อย่างในโลกนี้

ฉะนั้น เวลากลับมาเรื่องอัฐิธาตุ อัฐิธาตุมันเป็นผลพลอยได้ มันเป็นผลพลอยได้ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพาน เขาตัดแจกไป ส่วน แล้วเทวดาได้เขี้ยวแก้วไปอยู่บนดาวดึงส์ นี่เขาแจกกันไป แต่เวลาจะหมดศาสนา พวกนี้จะมารวมกัน นี่เพราะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

แต่เวลาเป็นพระอรหันต์ก็เหมือนกัน มันก็เป็นพระธาตุเหมือนกัน แต่คำว่าเป็นพระธาตุ” คำว่า “พระธาตุ” มันเกิดจากอะไร เกิดจากธาตุ  นี้ เห็นไหม แต่หัวใจล่ะ หัวใจที่เป็นพระอรหันต์อันนั้นน่ะ อันนั้นสำคัญที่สุดไง ถ้าสำคัญที่สุด เอาตรงนั้นไง

แต่ไอ้เรื่องพระธาตุมันเป็นสัญลักษณ์ มันเป็นสิ่งที่ตามมาภายหลัง แต่ถ้าหัวใจนั้นไม่เป็นพระอรหันต์นะ อย่างไรๆ มันก็ไม่เป็นพระธาตุหรอก มันไม่เป็นประโยชน์อะไรหรอก แต่มันจะเป็นพระธาตุหรือไม่เป็นพระธาตุ มันต้องมีมรรค มีอาสวักขยญาณ มีมรรค  ผล  คำว่า “มรรค  ผล ” ตบะธรรมมันแผดเผาตบะธรรมมันชะมันล้าง

เวลาพระอรหันต์ เวลาท่านนิพพานไปแล้ว เวลาไปเผาแล้ว กระดูกถึงเป็นพระธาตุแน่นอน แต่มันเป็นเร็วหรือเป็นช้า คำว่า “เป็นเร็วเป็นช้า” มันเรื่องเวรเรื่องกรรม เรื่องพระอรหันต์ท่านประเภทใด

คำว่า “ประเภท” ดูสิ เจโตวิมุตติ ถ้าจิตมันสงบ จิตมีกำลัง สิ่งนี้มันครองร่างถ้าเป็นปัญญาวิมุตติใช้ปัญญา ปัญญา ตบะธรรม กำลังของสมาธิ กำลังของจิตมันเบากว่า คำว่า “พระอรหันต์” มีประเภทเดียว คืออาสวักขยญาณ พระอรหันต์มีประเภทเดียว แต่ความชำนาญ ความต่างๆ มันแตกต่างกัน

ทีนี้ความแตกต่าง คนมันไม่เหมือนกัน พระอรหันต์ เราบอกว่า พระอรหันต์ร้อยองค์ก็ร้อยอย่าง พระอรหันต์ล้านองค์ก็ล้านอย่าง คำว่า “ล้านอย่าง” คือว่ามันเป็นมรรคญาณในใจของพระอรหันต์นั้น พระอรหันต์นั้นเขามีอำนาจวาสนาขนาดไหน ปัญญาของเขา ปัญญาของเขา ปัญญาเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเป็นปัจจุบัน มันไม่มีการซ้ำกัน ไม่มีการซ้อนกัน

อำนาจวาสนาของคนมันไม่เท่ากัน จริตนิสัยของคนไม่เท่ากัน ความคิดคนไม่เหมือนกัน แต่มรรค อริยสัจมีอันเดียว อันเดียวคือทฤษฎีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้หนึ่งเดียว แต่เวลาคนกระทำมีปัญญามากน้อย มีกำลังมากน้อย มีความเห็นแตกต่างกัน ความเห็นแตกต่างกัน แต่พยายามปรับตนเอง ทำศีล สมาธิ ปัญญา จนเข้าสู่มรรค

เข้าสู่มรรค เวลามรรคญาณ เวลามรรคมันรวมตัว อันนี้สำคัญ อันนี้สำคัญพอสำคัญ มันเป็นธรรม สิ้นกิเลสไปแล้วมันถึงเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้ว ธรรมธาตุมันอยู่กับร่างกายอันนั้น ร่างกายนั้นถ้ามันได้ดูแลแล้วมันฟอก

ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้ว เป็นพระธาตุแน่นอน เว้นไว้แต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น เว้นไว้แต่ช้าหรือเร็ว ถ้ามันไม่ใช่ก็คือมันไม่ใช่ ไม่ใช่แน่นอน ถ้ามันไม่เป็นพระธาตุก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ไม่มีพระอรหันต์หรอก แล้วพระอรหันต์ก็ไม่ใช่ว่ามีความสำคัญตรงที่พระธาตุ...มีความสำคัญตรงอาสวักขยญาณ นี่พระอรหันต์ประเภทเดียว ประเภทเดียวตรงนั้น ตรงอาสวักขยญาณ

ในสมัยพุทธกาล พระอรหันต์ที่ว่าเฉพาะตนที่ว่าตัวเองมีความรู้ความเห็นต่างๆ แล้วไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย อาสวักขยญาณต่างหากสำคัญที่สุด อรหัตตมรรคนั่นน่ะสำคัญที่สุดถ้าไม่มีตรงนั้น พวกท่านก็ไม่เป็นพระอรหันต์ พวกท่านเป็นพระอรหันต์เพราะไอ้ตรงนั้นน่ะ แล้วมาเถียงกันที่ไอ้ปลายเหตุนี่ ไปเถียงกันไอ้ความชอบส่วนตนนี่ นี่พูดถึงนี่พระอรหันต์นะ อยู่ในพระไตรปิฎก ที่สวนมะพร้าว พระอรหันต์เถียงกันว่าของใครดีที่สุด

นี่ก็เหมือนกัน คำว่า “อะไรเป็นพระอรหันต์ ไม่เป็นพระอรหันต์

ฉะนั้น ใครรู้คุณค่าล่ะ คุณค่าของธรรม

โอ้โฮนี่ไง หลวงตา ครูบาอาจารย์ที่เวลาท่านถึงที่สุดแล้ว “มันจะสอนอย่างไร มันจะบอกอย่างไร

ทีนี้พอบอกอย่างไร ไอ้พวกสวมรอย ไอ้พวกพระอรหันต์ความชำนาญ จริงๆนะ ๑๘ มงกุฎ โอ้โฮมันพูด เราเคลิ้มน่ะ อย่างนี้ใช่ไหมปฏิสัมภิทา ปฏิสัมภิทาคือพูดให้มึงหลับ ไอ้พวกฝอยลิงหลับนี่เป็นพระอรหันต์หรือ ไอ้โม้ลิงหลับ ฝอยจนลิงหลับหมดเลย เป็นพระอรหันต์ มันเป็นไปไม่ได้

พระอรหันต์จะพูดถึงมรรค ศีล สมาธิ ปัญญา ทวนกระแสกลับ ความดีความงามของเรามันเป็นความดีความงามของโดยสัญชาตญาณ ความดีความงามของเรามันจะทวนกระแสกลับเข้าไปสู่จิต ความดีความงามของเราคือจิตตั้งมั่น จิตมีกำลัง จิตมีความสงบระงับ แล้วความดีความงามทวนกระแสกลับเข้าไป เห็นไหมละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ปฏิฆะ กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะมานะ อุทธัจจะ อวิชชา นี่มันจะทวนกระแสกลับ สำคัญตรงนี้ แล้วจะสอนอย่างไรจะบอกอย่างไร จะบอกได้ เห็นไหม ตรงนี้สำคัญ พระอรหันต์มีหนึ่งเดียว

แต่ไอ้แยกประเภทไป แล้วถ้าพูดถึงว่า ปฏิสัมภิทา โอ๋ยมีความแตกฉาน

แตกฉานล้วงกระเป๋า ถ้าคนไหนรวยๆ มา อดีตชาติเป็นคู่ครองทั้งนั้นน่ะ ถ้าขอทานมา ไม่รู้จัก ถ้าใครมีตังค์มา “แหมเมื่อชาติที่แล้วจำอาตมาไม่ได้หรือ เมื่อชาติที่แล้วเรายังใกล้ชิดกันอยู่เลย” ถ้ามีตังค์นะ ถ้าไม่มีตังค์นะ “โอ๋ยไอ้พวกนี้ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น” อย่างนี้ใช่ไหมพระอรหันต์ พระอรหันต์ฝอยลิงหลับใช่ไหม

พระอรหันต์เขาต้องมีสติสัมปชัญญะ อะไรควรไม่ควร พูดออกไป ญาติโยมเขาจะรู้กับเราได้อย่างไร จะเป็นจริงไม่เป็นจริง อันนั้นมีคุณค่า การโม้การอวดการโอ้อวดเพื่อจะให้คนเคารพนบนอบ มันมีคุณค่ามากกว่าธรรมะหรือ

ใครรู้คุณค่าของธรรม คุณค่าของธรรมที่องค์ที่ได้สัมผัสอยู่นั่นน่ะ ถ้าเป็นจริงถ้าเป็นจริงมันได้สัมผัสธรรมอยู่นั่นน่ะ อะไรจะมีค่ากว่านั้นน่ะ แล้วคุยโม้โอ้อวดออกไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ นี่พูดถึงคำว่า “พระอรหันต์ปฏิสัมภิทา

ถาม : เรื่อง “สงครามโลกครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น

กราบนมัสการหลวงพ่อเจ้าค่ะ ก่อนอื่นขอกราบขอขมาหลวงพ่อที่หนูถามเรื่องนี้นอกเหนือจากการปฏิบัติ หนูอยากทราบว่า หากมีสงครามโลกครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นอีกครั้ง มวลมนุษยชาติทั้งโลกจะอยู่กันอย่างไร เศรษฐกิจทั่วโลกจะเป็นอย่างไร และจะกระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนาหรือไม่เจ้าคะ

ตอบ : สงครามโลก สงครามจะเกิดขึ้นหรือสงครามมันจะไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ตะวันออกกลางมีสงครามรบกันเต็มที่เลย รบกันแบบรบซึ่งๆ หน้า รบกันแบบสงครามกองโจร รบกันแบบลักลอบการทำลายร้อยแปด มนุษย์นี่ มนุษย์มีความมักมากอยากใหญ่ มีแต่ทิฏฐิมานะ รบราฆ่าฟันกันมาตลอด ทีนี้การรบราฆ่าฟันฉะนั้นบอกสงครามโลกๆ สงครามมันจะเกิดขึ้น

เรายกไว้ สงครามนี้ สงครามคือความเป็นข้อเท็จจริงของโลกนี้เรื่องหนึ่งไงทีนี้ไอ้สงครามโลก สงครามโลกโดยการฉ้อฉล สงครามโลกโดยการประกาศว่าสงครามโลกจะเกิดขึ้น สงครามจะเกิดขึ้น โลกข้างหน้าจะเกิดขึ้น คือพยากรณ์อนาคตแล้วก็เอาเงินมาให้ฉัน ให้ความตกใจ โลกจะแตก ขายที่กัน ไปซื้อที่บนภูเขา เชียงรายแผ่นดินไหวเลย ไปซื้อที่กันบนภูเขา ไปสร้างบ้านกัน เกิดแผ่นดินไหว แล้วมึงจะไปอยู่ไหนกันตอนนี้

มันเป็นกระแสข่าว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกกาลามสูตร อย่าเชื่อๆ อย่าเชื่อแม้แต่อาจารย์เราพูด อย่ากระต่ายตื่นตูมสิ ศาสนาพุทธให้มีปัญญาไม่ใช่ศาสนาแห่งกระต่ายตื่นตูม เขาก็มาหลอกเอาทั้งนั้นน่ะ สงครามโลกจะเกิดบ้าง โลกจะแตกบ้าง ขายที่ขายทางกัน มีบริษัทก็ขายทิ้งกัน แล้วก็ไปซื้อที่บนภูเขาทางภาคเหนือ ถ้าน้ำท่วมโลก โลกแตก ยังเหลืออยู่กี่จังหวัด ปั่นราคากันน่ะ แล้วก็เป็นเหยื่อ น่าเศร้า น่าเศร้า นี่สงครามโลกอีกแล้ว สงครามโลกจะเกิดอีกแล้ว

สงครามมันเกิดนะ สงครามมันเกิดของมันอยู่อย่างนั้น เราจะบอกว่า คนเรามันมีสติสัมปชัญญะพอควร ไอ้สงครามโลกๆ ถ้าสงครามโลกเกิดแบบสงครามในหนังเลยนะ คิดดูซิว่าระเบิดนิวเคลียร์ในโลกนี้มันมีอยู่กี่พันลูก มันทำลายโลกได้- รอบ ระเบิดนิวเคลียร์ที่โลกสะสมกันไว้มันระเบิดโลกนี้ได้ - ครั้ง แล้วไอ้คนที่มันจะทำสงครามมันต้องคิดให้ดี ตอนนี้ถ้าสงครามโลกนะ ระเบิดนิวเคลียร์ที่สะสมไว้ในโลกนี้มันระเบิดโลกนี้ได้ - รอบ แล้วมันจะมีอีกไหมล่ะ

มันไม่มีถึงขนาดนั้นหรอก เพราะเราเชื่อมั่นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาพุทธนี้จะอยู่ได้อีก ,๐๐๐ ปี

นี่ ,๕๐๐ ปี อย่างน้อยๆ มันจะอยู่ได้อีก ,๕๐๐ ปีข้างหน้า เราเชื่อมั่นว่าพระพุทธศาสนานี้จะอยู่อีก ,๐๐๐ ปี เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมีอายุ ,๐๐๐ ปี หมดจาก,๐๐๐ ปีไปแล้วมันจะเป็นที่ว่าไม่มีศาสนา เขาเรียกสุญญกัป มันจะเป็นสุญญกัปมันจะไม่มีศาสนาไปพักหนึ่ง แล้วพระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ข้างหน้า แล้วถ้าโลกมันแตกไปแล้วมันจะอยู่ที่ไหนล่ะ มันจะทำอย่างไรกันล่ะ เราเชื่อ เราเชื่อคำพยากรณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเชื่อตรงนี้ไง

ถ้าว่าไอ้สงครามโลก สงครามใหญ่

พวกเราภาวนาไปแล้วก็แตกตื่น พอภาวนาเราก็สู้จริงๆ อยู่แล้วนะ ยังเอาเรื่องอย่างนี้มาถ่วงหัวใจอีกนะ พอถ่วงหัวใจแล้ว กิเลสมันเอาความดีมาหลอกนะกิเลสมันบอกว่านี่เป็นธรรมนะ เพราะอะไร เพราะบอกว่า ถ้าสงครามโลกมันเกิดขึ้น มันมีผลกระเทือนพระพุทธศาสนาของเราหรือไม่

ยังห่วงศาสนาอยู่ จะปฏิบัติยังห่วงศาสนาอยู่ ก็พยายามจะพูด หาพวก หาพวกหาคนที่มาตื่นกลัวไปกับเรา เพราะเราเป็นห่วงศาสนาไง เราเป็นห่วงศาสนาแต่เราไม่เคยเห็นพุทธะ เราไม่ไปเฝ้าพระพุทธเจ้าในใจ เราไม่ทำความสงบของใจเราห่วงแต่ศาสนา แต่ไม่ห่วงพุทธะในใจ แล้วถ้าไม่มีพุทธะก็ไม่มีศาสนา ไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่มีศาสนาพุทธ แล้วพุทธะในหัวใจทำไมไม่ดูแล

ไม่ต้องไปเชื่อข่าวลือ กาลามสูตร อย่าเชื่อ ไอ้ข่าวร่ำ ข่าวลือ ข่าวปล่อย ไอ้สงครามโลก ไอ้โลกจะแตก เบื่อมาก แล้วไม่ธรรมดานะ เวลาจะพูดบอกว่า นี่พุทธพจน์ พระพุทธเจ้าพยากรณ์

มึงจะพูด มึงก็พูดสิว่ามึงพูด ทำไมต้องยัดเยียดให้ว่าเป็นพุทธพยากรณ์ เป็นพระพุทธเจ้าทำนายซะด้วยนะ ถ้าใครพูดก็ว่าพระพุทธเจ้าทำนาย

แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนามีอีก ,๐๐๐ ปี ทำไมเอ็งจำไม่ได้หรือ เอ็งจำไม่ได้ใช่ไหม เวลาพระพุทธเจ้าบอกโลกจะแตกนี่เอ็งจำได้ เวลาพระพุทธเจ้าบอกว่าศาสนาเราอยู่ ,๐๐๐ ปี เอ็งจำไม่ได้

พอบอก ,๐๐๐ ปี เขาบอกไม่ใช่ ไม่มี เกจิอาจารย์สุดท้ายภายหลังเขียนไปเองว่า ,๐๐๐ ปี

เวลามันจะเถียงมันบอกพระพุทธเจ้าไม่ได้เขียน พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไว้,๐๐๐ ปี แล้วพระพุทธเจ้าบอกกึ่งพุทธกาลตรงไหน

นี่ไง คือบาลีมันแปล มันอยู่ที่แปลมา มันแปลตามกิเลสไง กิเลสใครชอบอย่างไรก็แปลเข้าความเชื่อมัน นี่ไง ตรงนี้ที่หลวงตาท่านบอกว่าท่านเป็นมหาเวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาท่านปฏิบัติของท่าน ธรรมมันเกิดคือบาลีเกิด พอบาลีเกิด “เรายังไม่บอกใคร เราจะเก็บไว้ก่อน

เวลาหลวงตาท่านไปวิเวกกลับมา “อ้าวใครเป็นมหา” คือมหาก็เรียนบาลีมาไง ก็บอกภาษาบาลีให้หลวงตาแปล

หลวงตาท่านบอกว่าท่านรู้ นี่คนที่เคารพบูชาครูบาอาจารย์มันเคารพด้วยหัวใจ มันเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้เคารพที่ปาก ท่านบอกว่า เวลาท่านพูด ท่านพูดเป็นทางผ่าน ท่านบอกว่า “อ้าวใครเป็นมหา” ถ้าใครเป็นมหา โดยทางโลกใครเป็นมหาก็คือมีการศึกษา ถ้ามีการศึกษา พอบอกบาลี ผู้นี้ต้องเป็นผู้ที่แปล นี่ตามมารยาท แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “อ้าวนี่ภาษาบาลีขึ้น อ้าวมหาแปลใครเป็นมหาเว้ย มหาแปล

หลวงตาท่านนั่งเฉย ท่านบอกว่านี่เป็นแค่ทางผ่าน คือท่านจะเอาธรรมะข้อนี้มาฝากหลวงตาด้วย รอให้หลวงตามา แล้วท่านก็พูดบาลีขึ้นมา แล้วพอหลวงตาท่านนั่งนิ่งๆ หลวงปู่มั่นท่านก็แปลผัวะ!

พอแปลขึ้นมา หลวงตาท่านบอก โอ้โฮถ้าเป็นมหาท่านก็แปลได้ แต่แปลแล้วมันแปลทางวิชาการ แต่เวลาหลวงปู่มั่นท่านแปล ท่านแปลโดยธรรม คือธรรมมันฟาดหัวกิเลส ท่านบอกว่ามันชัดเจน มันลึกซึ้งกว่า นี่ไง เวลาท่านแปลเวลาแปลท่านแปลตีหัวกิเลส แปลทับกิเลส แต่ถ้าเป็นทางโลกแปลนะ มันต้องแปลให้ถูกต้องตามมารยาท ถูกต้องตามวิชาการ มันแปลผิดเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้

นี่ก็เหมือนกัน อย่างที่ย้อนกลับมา ย้อนถึงว่า เวลาบาลี เวลาคนแปลมันแปลเอาแต่ใจมันน่ะ แปลเข้าข้างตัวมันน่ะ ถ้ามันถูกใจ มันก็ถูก ถ้ามันไม่ถูกใจ มันก็ว่าผิด

นี่จะบอกว่า ,๐๐๐ ปีไง เราเชื่อ เราเชื่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกศาสนาท่านอยู่อีก ,๐๐๐ ปี อีก ,๕๐๐ ปี เรายังอยู่กันสบายๆ แล้วอายุเราไม่ถึง ๑๐๐ ปี

แล้วโลกจะแตก สงครามโลกจะเกิดขึ้น

ไอ้สงครามโลก โลกแตก มันเป็นมุกที่เอามาอ่อยเหยื่อเยอะมาก แล้วชาวพุทธก็เชื่อ เชื่อจนบางทีน่าสงสารนะ ขายบ้านขายเรือนกัน ย้ายบ้านย้ายเรือนกลัวภัยพิบัติ สุดท้ายแล้วไอ้พวกที่ปล่อยข่าวมันก็มาตักตวงเอาแต่ผลประโยชน์พวกเราชาวพุทธทำไมมีสติปัญญากันแค่นั้นไม่รู้

เราต้องมีสติมีปัญญา เรามีสติปัญญานะ เหตุใดเกิดขึ้น มีสติปัญญา เราแก้ไขของเรา ชีวิตของเรามันมีอุปสรรคทั้งนั้นน่ะ คนเราเกิดมา แม้แต่ความหงุดหงิด อารมณ์ของเรามันก็เกิดขึ้นแล้ว แล้วเราจะใช้สติปัญญาแก้ไขอย่างไร

แก้ไข เห็นไหม ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราแก้ไขของเรา เราทำความสงบของใจเราหาที่พึ่งของเราเพื่อประโยชน์กับเรา ฉะนั้น ถ้าเราทำของเราได้ เราจะเห็นคุณค่าของสัจธรรม เห็นคุณค่าของธรรมะ ถ้าคุณค่าของธรรมะเกิดขึ้นอย่างนี้ เราเป็นชาวพุทธ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางหลักวางเกณฑ์ไว้ ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม

ไอ้นี่ปฏิบัติธรรมนะ ปฏิบัติธรรมก็ไปเชื่อไอ้พวกฤๅษีชีไพร ไปเชื่อ ๑๘ มงกุฎแต่ไม่เชื่อครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงเลย ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงนะ ย้อนกลับมาศีล สมาธิ ปัญญา ไม่ไปไหนหรอก ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา มันเกิดขึ้นที่ไหน เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา

ถ้าเราทำของเรานะ เราทำความเป็นจริงของเราขึ้นมานะ เราปฏิบัติของเราได้จริงนะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เราจะรู้ได้เลยว่าครูบาอาจารย์องค์ไหนพูดโกหกไม่โกหก องค์ไหนพูดจริงไม่พูดจริง

อย่างหลวงตาท่านพูด เวลาท่านปฏิบัติ ไปออกวิเวก เวลาคนมาสอนท่านท่านบอกเลย “มีปัญญาแค่นี้จะมาสอนเรา

คือความรู้ของท่าน ท่านอยู่กับหลวงปู่มั่นมา มันแน่น แล้วเวลาคนที่อายุพรรษามาก แต่ไม่มีวุฒิภาวะมาสอน มันดูถูกนะ แต่เราจะพูดออกไป เราไม่ได้เคารพครูบาอาจารย์องค์นั้น แต่เราเคารพพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าให้เคารพกันอาวุโสภันเตไง ในเมื่อเขาอาวุโสกว่า เขามีอายุพรรษามากกว่า เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า แต่เป็นผู้ใหญ่ด้วยอายุพรรษา แต่ไม่มีวุฒิภาวะ เราก็เก็บไว้ในใจไง แต่ในใจมันคิด “ความรู้อย่างนี้หรือจะมาสอนเรา” นี่เวลาเราปฏิบัติไปมันจะมีความเห็นอย่างนี้ ถ้าคนภาวนาได้ภาวนาเป็นขึ้นไป

นี่เราภาวนาของเรา ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมานะ แล้วเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาในหัวใจขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม มันจะเป็นคุณประโยชน์ของเราขึ้นมา มันจะเป็นความจริงของเราขึ้นมา เพื่อในหัวใจของเราดวงนี้ เอวัง